แนวโน้มราคาทอง ราคาทองล่าสุด จับตาพุ่งต่อเนื่อง หลังรัสเซียบุกโจมตียูเครน ลุ้นแตะ 3.2-3.4 หมื่นบาทในไตรมาส 2 หลังทำนิวไฮรอบ 18 เดือน จากราคาโลกแตะ 2,000 ดอลลาร์ หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ราคาทองคำจะสร้าง New high ใหม่
ทองคำ ในฐานะ สินทรัพย์ปลอดภัย กลับมาเป็นขาขึ้นอย่างโดดเด่น หลังรัสเซียบุกโจมยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนทองคำของนักลงทุนตั้งแต่สิ้นปีก่อนจนถึงวันที่ 8 มี.ค.2565 พบว่า ราคาทองคำในตลาดโลก (Spot Price) ปรับขึ้น 10.50% ราคาทองคำแท่งในประเทศปรับขึ้น 7.80% และราคาทองคำรูปพรรณในประเทศปรับขึ้น 7.70%
นายวิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่าย Private Wealth Management ธนาคาร กรุงไทยเปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ช่วง 2 สัปดาห์หลังเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาทองคำในตลาดโลก (Spot Price) ปรับขึ้น 100 ดอลลาร์ จากระดับ 1,900 ขึ้นมาแตะ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะนักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย คือ ทองคำ กับ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
แนวโน้มราคาทองคำยังเพิ่มขี้นได้อีก เพราะตลาดกังวลระยะสั้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่มีทางออก แต่ระยะกลางถึงระยะยาว มีแรงกดดันจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 6-7 ครั้ง ซึ่งไม่เป็นผลบวกต่อราคาทองคำ เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฟื้น นักลงทุนจะกลับไปซื้อหุ้นและดอลลาร์
“การลงทุนทองคำนั้น ปกติเราใช้กระจายความเสี่ยงในการลงทุนระยะสั้น แต่ระยะกลาง-ยาวมีความกดดันจากธนาคารกลางหลายประเทศจะปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยแนวต้านระยะต่อไปของราคาทองคำอยู่ที่ 2,050-2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นผลระยะสั้นช่วงสงคราม”นายวิริยะชัยกล่าว
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮงกล่าวว่า ช่วงต้นปีนี้ ราคาทองคำปรับขึ้นอย่างโดดเด่น เมื่อเทียบกับปลายปีก่อน ราคาทองคำ spot ปรับขึ้นไปกว่า 9.46% ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศปรับขึ้นไปกว่า 9.18%
ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเพียงเล็กน้อยกว่า 0.66% โดยรวมยังมีแรงหนุนซื้อทองคำจากสถานการณ์ความตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครนและยังคงปรับขึ้นอย่างร้อนแรงในระดับสูงสุดที่ 2,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 18 เดือน
ทั้งนี้ เรายังคงเชื่อมั่นว่า เฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ และยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค.ที่ 0.25% เนื่องจากเงินเฟ้อในสหรัฐที่ยังคงร้อนแรง ซึ่งมุมมองเดิมของเฟด จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จากเดิมที่เฟดคาดว่า จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ รวมทั้งสิ้น 0.75% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่เร่งตัวสูงขึ้นในปีนี้
อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์ต่างประเทศคาดการณ์ว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้รวมสูงถึง 1.50-1.75% ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำ แต่หากว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังคงดำเนินต่อไป และมีความยืดเยื้อขึ้น ย่อมส่งผลให้น้ำมันปรับตัวขึ้น ยิ่งดันเงินเฟ้อให้พุ่งสูง และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น ราคาทองคำจะสามารถทะลุ 2,000 ดอลลาร์ ต่อไป และมีโอกาสที่ราคาทองคำจะกลับไปที่จุดสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้ที่ 2,074 ดอลลาร์ในปี 2020 และหากยังคงยืดเยื้อต่อไป มีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นทะลุจุดสูงสุดเดิมดังกล่าว สร้าง New high ใหม่
“ขณะที่ราคาทองคำยังคงมีแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หากความตึงเครียดในยูเครนยังไม่จบลง และยังคงยืดเยื้อต่อไป ดังนั้นการเก็งกำไรในทองคำ หากราคาอ่อนตัวลง ยังแนะนำกลับเข้าซื้อ ประกอบกับนักลงทุนต่างประเทศที่เริ่มกลับขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย”
การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ต่างๆ
ดังนั้น จึงคาดว่า จะส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาในประเทศ โดยมีแนวรับกลับเข้าซื้ออยู่ที่บริเวณ 1,960-1,970 ดอลลาร์ และมีจุดขายตัดขาดทุนอยู่ที่ 1,950 ดอลลาร์ ส่วนแนวต้านบริเวณ 2,000 ดอลลาร์ หากผ่านขึ้นไปได้ คาดว่าราคาทองจะมีโอกาสไปยังบริเวณ 2,074 ดอลลาร์
สำหรับราคาทองคำแท่งในประเทศ อาจปรับตัวได้มากกว่าราคา Spot เนื่องจากได้ปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง โดยสามารถเข้าซื้อทองคำเมื่อราคาทองคำบริเวณ 29,700 บาท โดยราคาทองคำแท่งมีแนวรับ 30,000 บาท และ 29,700 บาท ขณะที่มีแนวต้าน 31,500 บาท
นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ MTS GOLD แม่ทองสุกกล่าวว่า ขณะนี้เป็นสภาวะที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยราคาทองคำไทยทำนิวไฮในรอบ 2 ปี ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่ 30,900 บาทต่อบาททองคำ จากเดิมเคยทำนิวไฮที่ 30,300 บาทเมื่อเดือนสิงหาคม 2563 ขณะที่ราคาตลาด Spot อยู่ที่ 2,072 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ การที่ราคาทองคำไทยทำนิวไฮ 30,900 บาท ส่วนหนึ่งเป็นอานิสงค์จากเงินบาทอ่อนค่าและสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อและลุกลาม ทำให้ราคาทองคำในระยะกลาง-ยาวเริ่มเป็นขาขึ้น ซึ่งโอกาส Spot ขึ้นไปทดสอบ นิวไฮเดิมที่ 2,002 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก่อน จากนั้นคงจะมีโอกาสได้เห็นราคาทองคำแตะ 2,075-2,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ น่าจะเป็นนิวไฮภายในปีนี้
ราคาทองคำไทยเพิ่มขึ้นมาจาก 2 เด้งคือ ราคาทองคำโลกและเงินบาทอ่อน ซึ่ง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทอ่อนค่าเร็วและแรงประมาณ 15% หรือ 60สตางค์ (ทุก 32 สตางค์เท่ากับ 10%) แนวโน้มมีโอกาสเห็นเงินบาทอ่อนค่าถึง 33.50-34 บาทต่อดอลลาร์ ถ้าผลกระทบจากโควิด-19 ไม่จบลามการท่องเที่ยวไม่กลับมา อาจเห็นเงินบาทอ่อนค่า 35 บาทใกล้เคียงอัตราที่เคยอ่อนค่าถึง 33.85 เมื่อเดือนสิงหาคมปีก่อน
โดยเฉพาะดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าต่อหลังจากเฟดขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 16 มี.ค 65
แนวโน้มราคาทองคำ จะมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกไม่น้อยกว่า 1,000 บาทจะเห็นราคาทองคำไทยอยู่ที่ 32,000-34,000 บาทต่อบาททองคำ โดยจะเห็นประมาณไตรมาส 2 ปีนี้กรณีเลวร้ายสุด แต่ในไตรมาส 3-4 มีโอกาสรีบาวน์ ขึ้นกับความสามารถที่จะฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่เท่ากัน ส่วนราคาทองคำตลาดโลกมีโอกาสเห็น 2,100 ดอลลาร์ โดยช่วงเดือนครึ่ง คนไทยทยอยขายออกมาแล้วไม่น้อยกว่า 80% ของสต๊อกทองคำ แต่ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับอดีต
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,764 วันที่ 10 – 12 มีนาคม พ.ศ. 2565
อ้างอิง
https://www.thansettakij.com/category/money_market